ฟิลเลอร์(Filler)
คือ สาร Hyaluronic Acid หรือ HA เป็นสารที่เลียนแบบสารในร่างกาย เมื่อฉีดแล้วจึงสามารถ สลายได้เองตามธรรมชาติการฉีดฟิลเลอร์ช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ บนใบหน้า ช่วยเต็มเติมใบหน้า ใต้ตา ร่องแก้ม ปากฯ ให้เต่งตึง ช่วยปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้น ทําให้หน้าดูเด็กลง ริ้วรอยและรอยหมองคล้ำดูจางลง ทั้งยังช่วยในเรื่อง การชะลอวัยได้อีกด้วย


ฟิลเลอร์เหมาะกับใคร
การฉีดฟิลเลอร์สามารถฉีดได้หลากหลายตําแหน่ง ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล หรือต้องการที่จะเสริมในบริเวณไหน ส่วนใหญ่ตําแหน่งที่นิยมฉีดกันมาก มีทั้งหมด 7 ตําแหน่ง
ดังนี้
1 . ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

สาเหตุการเกิดรอยคล้ำหมองของใต้ตา มีด้วยกันหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็น การพักผ่อนไม่เพียงพอ ใต้ตาคล้ำจากโรคภูมิแพ้ลักษณะ
ทางพันธุกรรม หรือแม้กระทั่ง กระดูกใต้ตายุบลง จากสาเหตุอายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
2. ฉีดฟิลเลอร์คาง

ฟิลเลอร์คาง เหมาะสําหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้น คางบุ๋ม คางตัด คางยื่นไม่เข้ากับรูปหน้า หรือใกล้ปากมากเกินไป
การฉีดฟิลเลอร์คาง จึงมีส่วนช่วยในการปรับรูปหน้า เติมส่วนที่ขาดหายให้ใบหน้าดูสมส่วนมากยิ่งขึ้น
3. ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ปัญหาร่องแก้มลึก จุดบ่งบอกถึงอายุผู้หญิงเราได้อย่างชัดเจน ทั่วไปร่องลึกนี้จะลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่ออายุย่างเข้าสู่ 25 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในผู้หญิงเห็นชัดกว่าผู้ชาย เพราะร่องแก้มลึกจะทําให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย ต้องแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะช่วยให้ร่องแก้มตื้นขึ้น ใบหน้าดูอวบอิ่ม ไม่โทรม
4. ฉีดฟิลเลอร์ปาก

เมื่ออายุมากขึ้น เนื้อริมฝีปากจะบางลงเรื่อย ๆ เนื่องจากคอลลาเจนที่สร้างน้อยลง ซึ่งเป็นกับผิวทุกส่วนของร่างกาย สําหรับริมฝีปากที่คอลลาเจนน้อยลงจะดูไม่อิ่มเอิบ เห็นริ้วรอยได้ง่าย ดูแห้ง ส่งผลทําให้ความมีเสน่ห์น่าดึงดูดลดน้อยลงด้วย ฉะนั้นการฉีดฟิลเลอร์ปากจะช่วยให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้นและมีเสน่ห์น่ามอง

- ฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละตําแหน่ง ต้องฉีดปริมาณเท่าใด ?
- ฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับใคร ?
- ฉีดฟิลเลอร์แล้วอยู่ได้นานแค่ไหน ?
ฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละตําแหน่ง ต้องฉีดปริมาณเท่าใด
- จมูก 1 ml.
- หยดน้ำ 1 ml.
- คาง 1-2 ml.
- ปาก 1-2 ml.
- ร่องแก้ม 1-2 ml.
- เติมแก้ม แก้มตอบ 2-4 ml.
- เติมใต้ตา 1-3 ml.
- ขมับ 2-3 ml.ฃ
- หน้าผาก 4-6 ml
- ร่องใต้มุมปาก 1-2 ml.
** เป็นปริมาณโดยคร่าว ขึ้นกับระดับปัญหาของแต่ละบุคคล
ฟิลเลอร์ไม่เหมาะกับใคร?
แม้การฉีดฟิลเลอร์จะให้ผลลัพธ์ที่ดี เป็นวิธีที่ปลอดภัย แต่ก็ยังมีข้อจํากัดที่ไม่ควรฉีดสําหรับคนบางกลุ่มดังนี้
- ผู้ที่กําลังตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่เเพ้สารไฮยาลูโรนิกแอซิด หรือ ส่วนผสมใด ๆ ของฟิลเลอร์ ห้ามฉีดฟิลเลอร์โดยเด็ดขาด
- ผู้ที่แพ้ยาชา
- ผู้ที่มีผิวไวต่อการเกิดแผลเป็น มีประวัติเป็นแผลคีลอยด์ง่าย
- ผู้ที่ป่วยเป็นเริม หรือ งูสวัด ห้ามฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทําให้อาการป่วยกําเริบมากขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย เลือดออกเเล้วหยุดยาก ห้ามฉีดฟิลเลอร์ เพราะตัวยาที่กินอยู่เป็นประจำ เช่น แอสไพริน
ยาแก้ปวดกล้ามเนื้อ วิตามินอี เเละ สารสกัดจากใบแปะก๊วย อาจมีผลต่อการเเข็งตัวของเลือด - ผู้ที่มีผิวอักเสบ เช่น ผื่น ลมพิษ ฯลฯ
นอกจากนี้ ผู้ที่มีอายุต่ํากว่า 21 ปี ไม่จําเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากร่างกายยังมีกระบวนการสร้างเซลล์เพื่อเติม
เต็มผิวตามธรรมชาติอยู่แล้ว
ฉีดฟิลเลอร์แล้วอยู่ได้นานแค่ไหน ?
ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน จะสามารถสลายได้เอง ไม่ก่อให้เกิดอันตราย
ปกติแล้วจะอยู่ได้นานประมาณ 6 – 24 เดือน ซึ่งในแต่ละคนจะอยู่ได้นานไม่เท่ากัน

