ฉีดวิตามินผิว คืออะไร
การฉีดวิตามินผิว คือการผลักเอาวิตามินต่างๆ เข้าสู่ผิวผ่านทางเส้นเลือดดําเข้าสู่ร่างกายโดยตรง หัตถการนี้จึงมีอีกชื่อเรียกว่า IV Vitamin therapy หรือ IV Vitamin drip เรียกสั้นๆ ว่า IV ที่ย่อมาจาก Intravenous ที่แปลว่า หลอดเลือดดำนั่นเอง
สําหรับตัวยาที่ออกฤทธิ์หลักจะเป็น วิตามินซี (Vitamin C) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic acid) ซึ่งเป็นวิตามินที่ร่างกายของมนุษย์ต้องการ เนื่องจากจะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ต่อต้านอนุมูลอิสระ นําไปใช้สร้างคอลลาเจนที่มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆ เช่น กระดูก ฟัน และผิวหนัง และมีส่วนช่วยในการบํารุงผิว ป้องกันแสงแดดและป้องกันหวัด จึงเหมาะมากๆ สําหรับคนที่เป็นภูมิแพ้อีกด้วย





เปรียบเทียมการดูดซึมวิตามิน

เฉดความสว่างของผิว
เนื่องจากผลลัพธ์ของการฉีดวิตามินผิวจะไม่ได้ทําให้ขาวกว่าสีผิวเดิมตามธรรมชาติของเรา ดังนั้น จึงอยากให้คุณศึกษาเกี่ยวกับเฉดสีผิวก่อนว่า คุณจะอยู่ในเฉดไหน โดยอ้างอิงจากการจัดแบ่งสีผิว (Skin type classification) ในทางผิวหนัง โดยอาศัย Fitzpatrick skin type classification ซึ่งเป็นหลักที่แพทย์ผิวหนัง ใช้เป็นหลักสากล แบ่งออกเป็น 6 เฉดสีผิว ดังนี้
• กลุ่มที่ 1 : มีลักษณะผิวขาวซีด อ่อนบาง ตากแดดแล้วผิวไหม้ง่ายมาก และไม่มีสีแทนหรือ
คล้ำ เช่น กลุ่มคนเผือก เป็นต้น
• กลุ่มที่ 2 : มีลักษณะผิวขาวอมชมพู อ่อนบาง ตากแดดแล้วผิวไหม้ง่าย และมีสีแทนหรือคล้ำได้เล็กน้อย
• กลุ่มที่ 3 : มีลักษณะผิวขาวปนเหลือง ตากแดดแล้วบางครั้งผิวไหม้ และมีสีแทนหรือคล้ําได้แต่ก็ต้องใช้เวลา เช่น ลูกครึ่ง เอเชีย-ยุโรป เป็นต้น
• กลุ่มที่ 4 : มีลักษณะผิวเหลือง ตากแดดแล้วผิวไหม้ได้บ้างแต่น้อย และมีสีแทนหรือคล้ําได้เช่น กลุ่มชนเอเชียตอนบน เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี เป็นต้น
• กลุ่มที่ 5 : มีลักษณะผิวคล้ำ ผิวสองสี ตากแดดแล้วผิวไหม้ได้น้อยมาก และมีสีผิวคล้ําและดำในบางที่ เช่น กลุ่มชนเอเชีย อเมริกาใต้ ไทย มาเลเซีย เม็กซิโก สเปน เป็นต้น
• กลุ่มที่ 6 : มีลักษณะผิวดำ ตากแดดแล้วผิวไม่เคยไหม้ และมีสีผิวดําสนิท เช่น กลุ่มชนผิวดำแถบแอฟริกาใต้ เป็นต้น

ฉีดวิตามินผิว อันตรายไหม
โดยปกติแล้วการฉีดวิตามินผิวไม่ได้มีอันตราย เนื่องจากตัวยาเป็นสารสกัดธรรมชาติ และส่วนประกอบหลายตัวเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับร่างกายอยู่แล้ว จึงทําให้ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายหลังจากทําหัตถการ แต่สิ่งที่ควรระวังและทําให้เกิดอันตรายขึ้นได้ คือ การฉีดวิตามินที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ได้ผ่านการขึ้นทะเบียนจากทางองค์การอาหารและยา
หรือทําการฉีดวิตามินผิวที่บ้านด้วยตัวเอง ซึ่งการฉีดยาเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเส้นเลือดดําเองโดยตรงอาจทําให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น เกิดอาการแพ้รุนแรง, เกิดภาวะช็อก, ผื่นขึ้นลุกลาม จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ และการฉีดแต่ละครั้ง ไม่ควรเกิน 2-5 กรัม/สัปดาห์ หากมีอาการผิดปกติขึ้นระหว่างการฉีด เช่น แสบคัน เนื่องจากอาจจะไม่ได้ฉีดเข้าไปในเส้นเลือดด แต่อาจเข้าไปที่บริเวณกล้ามเนื้อหรือผิวหนังแทน ดังนั้น ควรทําการฉีดกับคลินิกที่น่าเชื่อถือ และทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น
ใครบ้างที่เหมาะฉีดวิตามินผิว
ทุกคนสามารถทําการฉีดวิตามินผิวได้ เนื่องจากปกติคนเราก็จะได้รับวิตามินจากการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะผักและผลไม้อยู่แล้ว ดังนั้น หากสามารถรับประทานได้ตามปกติก็ไม่จําเป็นต้องฉีดวิตามิน
แต่สําหรับกลุ่มคนที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ทํางานหนัก พักผ่อนน้อย ไม่อยากทาครีม ผิวคล้ําเสีย ไม่กระจ่างใส ทาครีมอะไรก็ไม่ดีขึ้น ต้องการฟื้นฟูร่างกาย และสภาพผิวอย่างเร่งด่วนแบบไม่ต้องรอ รวมไปถึงระบบภูมิต้านทํางานบกพร่อง เป็นหวัด โรคภูมิแพ้ สามารถรับวิตามินด้วยวิธีฉีดเป็นอีกหนึ่งทางเลือกได้ เนื่องจากช่วยฟื้นฟูร่างกายในระยะเวลารวดเร็วกว่าการรับวิตามินด้วยการรับประทานอาหาร
ใครบ้างที่ไม่เหมาะฉีดวิตามินผิว
ถึงแม้ว่าวิตามินผิวจะมีประโยชน์มากมายสําหรับคนเรา แต่ก็ไม่ได้
หมายความว่าปลอดภัยสําหรับทุกคน โดยเฉพาะกับบุคคลในกลุ่มเหล่านี้
• หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
• คนไข้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ (G6PD Deficiency)
• คนไข้ที่มีภาวะเหล็กเกิน เพราะวิตามินซีจะเข้าไปทําให้ร่างกายเกิดการ
ดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้นอีก ทําให้เกิดความไม่สมดุลของแร่ธาตุได้
• คนที่มีประวัติแพ้ยา หรือวิตามินที่เป็นรูปแบบการฉีด
• คนที่มีโรคประจําตัว เช่น ความดันโลหิตต่ำ ผู้ที่มีประวัติโรคเลือดผิดปกติ โรคมะเร็ง ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลิน
ทั้งนี้ ก่อนฉีดวิตามินผิว ควรปรึกษาและบอกถึงปัญหาสุขภาพของตนเองเพื่อให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทราบและประเมินก่อนทุกครั้ง
